เราอยากพัฒนาตนเอง… แต่เลือกดูซ...
ReadyPlanet.com


เราอยากพัฒนาตนเอง… แต่เลือกดูซีรีส์มากกว่าอ่านหนังสือ


 ก่อนที่จะเขียนบทความนี้ คือตอนกำลังเปิด to do list รายการที่ต้องทำของตัวเองว่าต้องทำอะไรบ้าง การเขียนบทความก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่พอเทียบกับรายการอื่น ๆ เป็นอะไรที่ไม่เร่งด่วน (Not Urgent) มีงานที่ย่อมต้องมาก่อนและสำคัญกว่า ทว่ารู้สึกยังไม่อยากลุกไปทำเอาเสียเลย อยากเขียนให้จบสักบทความหนึ่งก่อน (มีเขียนค้างไว้เพียบ) ชั่วขณะเดียวกันนี้เองก็บันดาลให้เกิดบทความนี้ขึ้นมาว่า “เพราะสิ่งที่ชอบทำ บางทีมันไม่ใช่ สิ่งที่ต้องทำ” ก็ในเมื่อมีงานที่ควรต้องเคลียให้จบไปก่อน เปรียบการที่ถ้าผมยังไม่เขียนบทความ ก็ไม่มีใครมาด่ามาว่าอะไร ต่อให้เขียนเสร็จก็ใช่ว่าคนจะมารีบอ่าน 😅 แต่ใจก็ดันเรียกร้องให้เลือกทำสิ่งที่ชอบมากกว่าสิ่งที่ต้องทำ เราหลายคนคงเคยพ่ายแพ้ต่อภาวะเช่นนี้….นี่คือสิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือนใจ โดยใช้ตัวเองที่กำลังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมาชวนให้คิด อันที่จริง ผมก็ตัดสินใจเลือกที่จะลุกไปเตรียมงานที่ต้องทำแล้ว เพียงแต่กลัวลืมเรื่องราวที่คิดได้เรื่องนี้ จึงเลือกมาเขียนก่อน ยังดีที่ “การเตรียมงาน” กับ “เขียนบทความ” ของผมอยู่ใน to do list ทั้งคู่ มันจึงมีโอกาสที่จะสำเร็จทั้ง สิ่งที่ชอบทำ และต้องทำในวันนี้ แต่หลายคนไม่ได้เป็นเช่นนี้ เลือกแค่ไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่ได้อยู่ในแผน หรือที่จริงไม่เคยวางแผน แค่ชอบทำสิ่งนี้มากกว่าอีกอย่างก็เท่านั้น ไม่ว่ามันจะสบายกว่า สนุกกว่า หรือเหนื่อยน้อยกว่า แต่ผลลัพธ์แท้จริง ๆ มันแย่กว่า โดยอย่างยิ่งเมื่อสิ่งนั้นมันไม่ได้เป็นสาระอันใด..

 

ใด ๆ ก็ตามการที่ผมมาใช้เวลาเขียนบทความสั้น ๆ นี้ออกไป แล้วใครที่ไม่ได้จงใจมาอ่านก็หวังว่าจะไม่เป็นการเสียเวลา ได้มุมคิดกลับไป เพราะมันคงพอเตือนสติให้รีบย้อนกลับไปทำอะไรที่สำคัญเสีย เลิกดูเว็บไซต์ หรือไถเลื่อนมือถือต่อจากนี้โดยไม่ได้อะไรขึ้นมา… สล็อต

เหตุผลที่คนเรายังไม่ใกล้ความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะบางเรื่องมันยาก แต่แค่เอาชนะใจตัวเองไม่ค่อยจะได้เท่านั้น ทำแต่สิ่งที่ชอบ ไม่ทำในสิ่งที่จำเป็น หรือสิ่งที่สำคัญ ผมก็เช่นกัน รีบเขียนจบแล้วขอรีบไปเตรียมงานก่อนนะครับ “ไม่มีคำว่าสายเกินไป” เป็นประโยคในเชิงคิดบวก(อีกแล้ว) ซึ่งมันจริงหรือ? ก็ในเมื่อที่ผ่านมาเราก็ล้วนรู้แก่ใจว่า เคยเสียเวลา เคยเสียโอกาส และอยากย้อนไปแก้ไขอะไรตั้งมากมาย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะ “มันสายไปแล้ว” นั่นเอง ดังนั้น ไม่มีคำว่าสายเกินไป มันก็แค่ประโยคปลอบใจตัวเองหรือเปล่า?

คงอคติเกินไปหากบอกว่าประโยคนี้ ไม่ดีหรือไม่จริง คำพูดย่อมขึ้นอยู่กับเจตนาและบริบทด้วย หากกล่าวว่า “ไม่สายเกินไป ที่จะ…” อาจเป็นจริงในหลายประการเช่น “ไม่สายไปที่จะเริ่มใหม่” อันหมายถึงที่ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว…

แต่หากฝังหัวและปลอบตัวเองกับสิ่งเดิมว่าไม่สายเกินไปในทุกเรื่อง นั่นอาจเป็นคนที่ไม่เคยตระหนักในตอนที่ยังมีโอกาส หรือมีเวลาตัดสินใจอะไรได้อยู่ “ก่อนจะสายเกินไป” และรวมถึงพอคิดว่าไม่สายเกินไป ก็ไร้ความรอบคอบ เรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ จนพอล้มแต่ละครั้งก็นั่งปลอบใจกันว่า “ไม่มีคำว่าสายเกินไป” ที่มันไม่จริงสักนิด เพราะหลายอย่างมันเรียกคืนมาไม่ได้แล้ว

ด้วยชีวิตหลายคนยังวนเวียนพยายามแก้ไขปมบางอย่างที่มันสายไปแล้ว นอกจากไม่ดีขึ้น ยังทำให้เสียเวลา เสียโอกาส กระทั่งเลวร้ายลงกว่าเดิมเสียอีก เช่น เพิ่งอยากอบรมสั่งสอนลูกในตอนที่เขาเป็นวัยรุ่น แต่ตอนวัยเด็กตามใจจนเคยตัว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือยิ่งต่อต้านกัน และห่างเหินกันไปกว่าเดิม เช่นนี้ สายเกินไปชัดเจน

การยอมรับว่า “สายเกินไป” กับหลายอย่างอาจทำให้เรารอบคอบขึ้น เห็นค่าเวลาและโอกาสมากขึ้น และเข้าใจการ “เริ่มใหม่” ได้ดีขึ้น ป่วยการที่จะมานั่งย้อนเสียใจ หรือวนเวียนพยายามกับสิ่งที่สายไปแล้ว ต่อให้คนที่ตั้งใจ พยายามรอบคอบ ก็ยังผิดพลาดได้เช่นกัน จะสายไปหรือไม่ ก็ต้องเริ่มใหม่ให้เป็น

การเริ่มใหม่ไม่จำเป็นว่าจะเปลี่ยนหัวเรื่อง หรือละทิ้งบางสิ่งไปเลยเสียทีเดียว แต่เป็นจุดเริ่มยอมรับในวิธีคิด กระบวนการ หรือวิธีการใหม่ ๆ แต่หากขาดการ “ยอมรับ” ว่ามันสายไปแล้ว เราอาจจะยังคงดันทุรังบนแนวคิดเดิม วิธีการเดิม ความเชื่อเดิม ซึ่งผลลัพธ์มันยากจะเปลี่ยนแปลง



Post by mii (lelemimi888-at-gmail-dot-com) :: Date 2023-09-04 12:16:19


Opinion
Opinion *
By  *
E-Mail 
Don't Display E-mail